ขั้นตอนการแปรรูปผงจากสารละลาย Silica

1.สารละลาย silica ที่นำมาแปรรูป

2.แปรรูปด้วยเครื่องสเปรย์ดรายเออร์ (SPRAY DRYER) อบแห้งแบบพ่นฝอยจากของเหลวให้เป็นผงแห้ง

3.ผลิตภัณฑ์ผงสารละลาย Silica ที่ได้
ขั้นตอนการแปรรูปผงจากสารละลาย Silica

1.สารละลาย silica ที่นำมาแปรรูป

2.แปรรูปด้วยเครื่องสเปรย์ดรายเออร์ (SPRAY DRYER) อบแห้งแบบพ่นฝอยจากของเหลวให้เป็นผงแห้ง

3.ผลิตภัณฑ์ผงสารละลาย Silica ที่ได้
ขั้นตอนแปรรูปการต้มสกัด,ระเหยแอลกอฮอล์,สเปรย์ดรายผงจากน้ำสมุนไพร

1.สมุนไพรที่นำมาแปรรูป

2. สมุนไพรที่นำมาแปรรูป แปรรูปให้เป็นของเหลวโดยการต้มสกัด ถังต้มกวนผสม ( HEATING MIXING TANK )ถังกวนผสมใช้กวนผสมของเหลว และให้ความร้อนด้วย HOT OIL

3.ผลิตภัณฑ์น้ำสมุนไพรที่ได้

4.แปรรูปด้วย เครื่องระเหยแอลกอฮอล์ (Alcohol Recovery Evaporator) ใช้ระเหยแอลกอฮอล์นำกลับมาใช้ซ้ำ

5.ผลิตภัณฑ์น้ำสารสกัดสมุนไพรที่ได้

6.แปรรูปด้วย เครื่องสเปรย์ดรายเออร์ (SPRAY DRYER) อบแห้งแบบพ่นฝอยจากของเหลวให้เป็นผงแห้ง

7.ผลิตภัณฑ์ผงสมุนไพรที่ได้
ขั้นตอนการระเหยเข้มข้นและสเปรย์ดรายผงจากน้ำซุปปลา

1.น้ำซุปปลาที่นำมาแปรรูป

2.แปรรูปด้วย เครื่องระเหยเข้มข้น (FALLING FILM EVAPORATOR) ระเหยน้ำออกจากวัตถุดิบที่มีลักษณะเป็นของเหลวเพื่อทำให้เข้มข้น

3.ผลิตภัณฑ์น้ำซุปปลาเข้มข้นที่ได้

4.แปรรูปด้วย เครื่องสเปรย์ดรายเออร์ (SPRAY DRYER) อบแห้งแบบพ่นฝอยจากของเหลวให้เป็นผงแห้ง

5.ผลิตภัณฑ์ผงน้ำซุปที่ได้
ข้อระวังจากการใช้สมุนไพร
สมุนไพร ขึ้นชื่อว่ามีประโยชน์ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มากมาย แต่ในทางตรงกันข้าม สมุนไพรก็สามารถให้โทษ และอันตรายแก่ผู้ใช้ได้ หากไม่รู้จักใช้ หรือใช้ไม่ถูกต้อง

https://www.bangkokbiznews.com/news/956061
โทษและอันตรายจากการใช้สมุนไพร ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 3 ประการ ดังนี้
โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือโรคหืด ซึ่งแพทย์ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ช่วยได้เพียงการให้ยาเพื่อบรรเทาอาการ และป้องกันโรคแทรกซ้อน บางคนอาจทานยาจนเบื่อ เลยหยุดทานยา และหันมารักษาด้วยสมุนไพรแทน แต่สมุนไพรหลายชนิดอาจไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรค
นอกจากนี้ โรคที่เป็นอาจไม่แสดงอาการชัดทำให้เข้าใจว่า โรคหายแล้ว จึงหยุดการรักษาที่ถูกวิธีไป ซึ่งนานไปโรคเดิมอาจกลับมากำเริบ และส่งผลอันตรายต่อร่างกายได้
สมุนไพรหลายชนิด จะมีสารเคมีที่เป็นพิษร้ายแรงปะปนอยู่ ถ้าได้รับเข้าไปจะทำให้เกิดอาการจากพิษนั้น ๆ เช่น มะเกลือ ผลของมันเมื่อแก่เต็มที่จนมีสีดำ อาจจะมีสาร naphthalene ซึ่งเป็นพิษต่อประสาทตาโดยตรง หรือ ยี่โถ เราพบว่า มีพิษอยู่ในใบของมัน หากได้รับสารนี้จะทำให้หัวใจเต้นช้าลง และอาจหยุดได้
ซึ่งทางคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ทำการตรวจวิเคราะห์ยาสมุนไพร เพื่อหาสารเจือปนที่จะเป็นอันตรายพบว่า ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของ arsenic 60% และสาร steroids กว่า 30% นอกจากนั้นยังมีสารอันตรายอื่นๆ อีกมากมาย
แหล่งที่มา : https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/
ขั้นตอนการสกัดด่วนและระเหยเข้มข้นจากน้ำใบชาแดง

1.ใบชาแดงที่นำมาแปรรูป

2.แปรรูปให้เป็นของเหลวโดยการต้มสกัด เครื่องสกัดด่วน (HI SPEED EXTRACTOR) สามารถใช้สกัดสารสำคัญจากวัตถุดิบออกมาเป็นน้ำสกัดได้อย่างรวดเร็ว

3.ผลิตภัณฑ์น้ำสกัดจากใบชาที่ได้

4. แปรรูปด้วย เครื่องระเหยเข้มข้น (FALLING FILM EVAPORATOR) ระเหยน้ำออกจากวัตถุดิบที่มีลักษณะเป็นของเหลวเพื่อทำให้เข้มข้น

5. ผลิตภัณฑ์น้ำใบชาแดงเข้มข้นที่ได้
โหระพา ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

โหระพา เป็นพืชที่มีกลิ่นหอม นิยมนำมาประกอบอาหารหลากชนิดในประเทศไทย ซึ่งช่วยปรุงแต่งกลิ่นรสของอาหารให้น่ากินยิ่งขึ้น ช่วยดับกลิ่นคาวของอาหารหลาย ใบและยอดอ่อนใช้กินเป็นผักสด เป็นเครื่องแนมอาหารคาวหรืออาหารว่างได้เป็นอย่างดี นิยมนำมาใช้เป็นผักจิ้มหรือกินสดมากกว่ากะเพรา รวมถึงนิยมใช้กินร่วมกับอาหารที่มีรสจัดและกลิ่นแรง
ส่วนในประเทศทางตะวันตก นิยมกินใบแห้งเป็นเครื่องเทศ และน้ำสลัดที่ใช้โหระพาเป็นส่วนผสม (pesto) เป็นน้ำสลัดที่ใช้ประจำในอาหารอิตาเลียน ส่วนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็นิยมกินใบโหระพา แต่ใช้โหระพาจากอียิปต์ ฝรั่งเศส และมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีกลิ่นต่างจากโหระพาของไทย แลใช้น้ำมันโหระพาใช้แต่งกลิ่นซอสมะเขือเทศ ขนมผิง ลูกอม ผักดอง ไส้กรอก และเครื่องดื่ม
นอกจากนี้ โหระพามีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีกเช่นใบและลำต้นของโหระพาเมื่อนำมากลั่นจะได้น้ำมันหอมระเหยซึ่งใช้ประโยชน์ได้มากมาย เช่น ใช้แต่งกลิ่นอาหารพวกลูกกวาด ซอสมะเขือเทศ ผักดอง น้ำส้ม ไส้กรอก เครื่องดื่มชนิดต่างๆ ฯลฯ ใช้แต่งกลิ่นยาสีฟันและยาที่ใช้กับปากและคอ ทำโลชั่น ครีม แชมพู สบู่ ฯลฯและน้ำมันโหระพายังใช้ไล่แมลง หรือฆ่าแมลงบางชนิดได้ เช่น ยุงและแมลงวันได้อีกด้วย
ใบ : มีกลิ่นฉุน รสร้อน แก้ลมวิงเวียน ขับลม แก้ท้องขึ้น ท้องอืด แก้ปวดท้อง ช่วยย่อยอาหาร
ทั้งต้น : แก้พิษตานซาง แก้เด็กนอนสะดุ้งผวาเพราะโทษน้ำดี
เมล็ด : แก้บิด ทำให้อุจจาระไม่เกาะลำไส้ เป็นยาระบาย ใช้พอกฝีรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน มีผลการศึกษาวิจัยระบุว่า ใบโหระพา มีบีต้าแคโรทีนสูง สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดและมะเร็งได้ โดยโหระพา 1 ขีด มีบีตาแคโรทีน ถึง 452.16 ไมโครกรัม
ใบโหระพา มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ประมาณร้อยละ 0.1-1.5 เมื่อทำการวิเคราะห์ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างจาก headspace และตรวจสอบด้วย gas chromatography พบว่า ในน้ำมันหอมระเหยประกอบด้วยสารเมทิลชาวิคอล (methylchavicol) เป็นสารหลัก (ร้อยละ 93) และสารกลุ่มเทอร์พีน ได้แก่ลินาโลออล (linalool) และซินีออล(1,8-cineol)
นอกจากนี้ ยังมีสารยูจีนอล (eugenol) กรดกาเฟอิก (caffeic acid) และกรดโรสมารินิก (rosmarinic acid)Ocimine, alpha-pinene, eucalyptol , geraniol,limonene, eugenol methyl ether.methyl cinnaminate, 3- hexen -1- ol, estragole
รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของโหระพา

ที่มา : Wikipedia
แหล่งที่มา : https://www.disthai.com/
ขั้นตอนการแปรรูปผงจากสารแต่งกลิ่นโหระพา

1.โหระพาที่นำมาแปรรูป แปรรูปให้เป็นของเหลวโดยการต้มสกัด

2.นำเข้าเครื่อง SPRAY DRYER แปรรูปด้วย เครื่องสเปรย์ดรายเออร์ (SPRAY DRYER) อบแห้งแบบพ่นฝอยจากของเหลวให้เป็นผงแห้ง

3.ผลิตภัณฑ์ผงสารแต่งกลิ่นโหระพาที่ได้
ประโยชน์ดีๆกระชายดำ
กระชายดำมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้หนาแน่นในแถบมาเลเซีย สุมาตรา เกาะบอร์เนียว อินโดจีน และในประเทศไทย และมีเขตการกระจายพันธุ์ทั่วไปในเอเชียเขตร้อน ในประเทศจีนตอนใต้ อินเดีย และพม่า สำหรับประเทศไทยนั้นมีการปลูกกระชายดำมากได้แก่จังหวัด พิษณุโลก เพชรบูรณ์ น่านเลย ตาก กาญจนบุรี และจังหวัดอื่นๆ ทางภาคเหนือ

ประโยชน์และสรรพคุณกระชายดำ
ในการใช้กระชายดำแบบพื้นบ้านในสมัยก่อนนั้น จะนำมาทำเป็นยาลูกกลอน คือ เอาผงแห้งมาผสมน้ำผึ้งและปั้นเป็นลูกๆ หรือนำมาดองเหล้า (ในอัตราส่วน 1 กิโลกรัม : เหล้าขาว 3 ขวด : น้ำผึ้ง 1 ขวด) ดองทิ้งไว้ประมาณ 9 – 15 วัน แล้วนำมาใช้ดื่มวันละ 1 – 2 เป๊กกระชายดำไม่ได้เป็นยาปลุกอารมณ์ทางเพศ แต่ระยะเวลาการแข็งตัวที่นานขึ้น และสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาดังกล่าวก็สามารถรับประทานเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรกขึ้นได้)หากสุภาพสตรีทานแล้วจะช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนทางเพศ
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของกระชายดำ
แหล่งที่มา : https://tuemaster.com/blog/

1.กระชายขาวที่นำมาแปรรูป แปรรูปให้เป็นของเหลวโดยการต้มสกัด

2.นำเข้าเครื่อง SPRAY DRYER แปรรูปด้วยเครื่องสเปรย์ดรายเออร์ (SPRAY DRYER) อบแห้งแบบพ่นฝอยจากของเหลวให้เป็นผงแห้ง

3.ผลิตภัณฑ์ผงสารสกัดกระชายขาวที่ได้
ขั้นตอนการแปรรูปผงจากน้ำจุลินทรีย์

1.น้ำจุลินทรีย์ที่นำมาแปรรูป

2.แปรรูปด้วยเครื่องสเปรย์ดรายเออร์ (SPRAY DRYER) อบแห้งแบบพ่นฝอยจากของเหลวให้เป็นผงแห้ง

3.ผลิตภัณฑ์ผงจุลินทรีย์ที่ได้